เอ็ด วู้ดเวิร์ดไม่ใช่คอบอลตัวจริง??

ใครสักคนที่เป็นเพื่อนสนิทของผู้กุมอำนาจสูงที่สุดรองแค่เจ้าของอาณาจักรสีแดงตั้งแต่สมัยเรียนปฎิเสธเสียงแข็ง

“ไม่เชิงแบบนั้น เขาชอบกีฬาหลายประเภท เขาเป็นนักว่ายน้ำที่เก่งมาก เอาว่าเข้าแข่งขันโอลิมปิกได้

เขายังชอบรักบี้พอๆกับฟุตบอลด้วย”  

เกิดที่เชล์มส์ฟอร์ด เป็นเมืองขนาดเล็กตั้งแถวตะวันออกของมหานครลอนดอน โซนแถวนั้นใครๆก็รู้จักในชื่อ”เอสเซ็กซ์”(Essex)

โดยมีความสามารถเข้าเรียนโรงเรียนเอกชนชื่อว่าเบรท์วู้ดได้ ค่าเทอมตกปีละราว 20,000 ปอนด์ ว่ากันว่าตลอดกว่า7 ในนั้นก็

เป็นช่วงเวลาคาบเกี่ยวกับที่แฟร้งค์ แลมพาร์ดได้เข้ามาวิ่งเล่นด้วย

ที่น่าเหลือเชื่อก็เล่ากันว่ายอดผู้บริหารปีศาจแดงผู้ที่ทำให้ปัจจุบันมีสปอนเซอร์หรือพาร์ทเนอร์ที่ผูกติดกับสโมสรไม่น้อยกว่า 70

รายเพิ่งมีโอกาสคุยกับโค้ชหนุ่มเชลซีในเกมพรีเมียร์ลีกที่สองทีมเจอกันเมื่อเดือนสิงหาคม

นึกออกไหมครับ?

คนที่จบจากสถาบันการศึกษาเดียวกันก็มักมีโมเมนต์รำลึกอดีต นอกจากนั้นด้วยความที่วู้ดเวิร์ดเองมีปูมหลังที่เคยใช้ชีวิตที่ดาร์บี้มาก่อน

เขาเองก็เลยยิ่งมีเรื่องอยากสนทนากับแลมพส์มากขึ้นในฐานะที่เคยไปคุมทีมแกะเขาเหล็กมาหนึ่งปีเต็ม

ปู่ทำงานในโรงงานผ้าคอตตัน ขณะที่พ่อมีพื้นเพมาจากแถบดาร์บี้เชียร์(สมัยเด็กๆก็เลยไปอยู่ฟาร์ม เลี้ยงแกะตามประสาเด็กต่างจังหวัด)

ก่อนได้งานใหม่ที่ไม่สามารถเซยโนได้จึงย้ายมาตั้งรกรากที่เมืองหลวง

นอกจากเพื่อนสนิทจะออกมาปฎิเสธเรื่องความที่เขาไม่ใช่แฟนบอลตัวจริงแล้ว ก็ยังได้อธิบายเพิ่มเติมถึงว่าทำไมเขาถึงได้รับความ

ไว้วางใจให้เป็น”หัวเสือ”ของสโมสรที่มีมูลค่ามหาศาลที่สุดในโลก

“เขาฉลาด ไหวพริบดี ทำงานหนัก มีความเสมอต้นเสมอปลายมาก เขาเป็นหนึ่งในนักสู้ที่ผมเคยรู้จักมาก อีกอย่างที่สำคัญ

เขาไม่ใช่คนที่ชอบออกสื่อ ทำตัวเด่น ดังนั้นเขาเองจึงไม่ค่อยให้สัมภาษณ์สื่อใดๆแม้เขาจะทำได้ง่าย”    

ด้วยความเรียนเก่ง ต่อมาเลยเข้าศึกษาต่อสายฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยบริสตอล จากนั้นพอได้ปริญญาก็เข้าร่วมงานกับ”JP Morgan’s”

ในปี1999

ใครจะคิดว่านับจากนั้นชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่เคยมีความฝันเกี่ยวข้องกับเกมลูกหนังเลยต้องเปลี่ยนไปนับจากวันนั้น….

จากแค่นายแบงก์ทั่วไปก็ถูกดึงให้เข้าร่วมบอร์ดของสโมสรที่ชื่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจากความดีความชอบที่เป็น”ฟันเฟือง”

ตัวหลักทำให้ตระกูลเกลเซอร์มีเครดิตมากพอเข้าเทกโอเวอร์สำเร็จในปี 2005

แม้อดีตซีอีโอมือทองอย่างเดวิด กิลล์จะออกมาคัดค้านก่อนแล้วก็ตามรวมถึงมีกลุ่มกองเชียร์เร้ด อาร์มี่ส์รวมตัวประท้วงหนัก

 “จากพนักงานธนาคารระดับกลางแต่ทุกวันนี้เขาคือสายตรงที่ต่อสายคุยกับพวกเกลเซอร์ได้ในทุกๆวันเลย” นี่เป็นข้อ

สรุปของความเปลี่ยนแปลงชีวิตคนๆหนึ่งและย่อมหมายถึงสโมสรลูกหนังที่ปัจจุบันผลงานในสนามสวนทางกับตัวเลขในบัญชี

วัยเพียง 34 ก็กลายเป็น”มือขวา”ของตระกูลเกลเซอร์ไปแล้วแต่เขาไม่ได้แค่อาศัยความดีความชอบครั้งเก่า ผลงานที่จับต้องได้

ก็เรียกเสียงปรบมือแทบทุกครั้งที่มีการประชุมสามัญ ยอดรายได้จากปี2005 ที่แตะอยู่ 48.7 ล้านปอนด์พุ่งทะยานไปเป็น 117.6 ล้านปอนด์ในปี 2012

ตอนนั้นวู้ดเวิร์ดเองยังทำหน้าที่ดูแลการตลาดของสโมสรเท่านั้น

กระนั้นก็ต้องบอกว่าเขาเองรู้จักต่อยอดจากพื้นฐานที่แข็งแกร่งอยู่แล้วต่างหาก เขาไม่ได้เข้ามาถกแขนเสื้อทำเองใหม่หมด โลโก้

อสูรเสมือนแบรนด์มาก่อนแล้ว เมกกะสโตรก็มีสินค้าขายตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบมาก่อนแล้ว

ปัจจุบันตำแหน่งสูงขึ้น บทบาทความรับผิดชอบมากกว่าเดิม แน่นอนแรงกดดันย่อมถาโถมเข้าหาหนักกว่าเก่า เขาเองเป็นคนที่

กุมชะตาของสโมสรที่เป็นเจ้าของแชมป์ลีก20สมัย

มีบางประโยคที่อาจพอสะท้อนได้หลายริ้วรอย”ฟอร์มการเล่นในสนามจะไม่ส่งผลกระทบมากต่อในเรื่องการบริหารทางการเงิน”

วู้ดเวิร์ด เคยกล่าวให้ความมั่นใจเอาไว้ในห้องประชุมผู้ถือหุ้นปีก่อน

เดือนที่แล้วการประกาศรายได้เป็นประวัติการณ์ 627 ล้านปอนด์ซึ่งรวมถึงตั๋วปีที่ขายหมด การที่ธุรกิจกับสินค้าต่างๆก็ไปได้ดีเยี่ยม

นี่ยังไม่รวมว่ามีอีกหลายเจ้าต่อคิวอยากเข้ามาทำการค้าด้วย

หากคนเดียวกันนี้เองซีซั่นที่แล้วเกมที่เทิร์ฟ มัวร์ของเบิร์นลี่ย์ มีแฟนกลุ่มหนึ่งลงทุนทำแผ่นผ้าพร้อมจ้างเฮลิคอปเตอร์ขับแล่นผ่าน

ด้านบนของสนามช่วงก่อนเกม“Ed Woodward specialist in failure”

ใช่ครับ เพราะฟุตบอลก็คือฟุตบอล ธุรกิจก็คือธุรกิจ

มันเหมือนหนุ่มสาวที่คบกันเป็นแฟนซึ่งต่อให้รักกันขนาดไหน เขาทั้งสองก็ย่อมมีโลกส่วนตัวของตัวเอง มีบางอย่างที่แยกออกจาก

กันและกัน

วู้ดเวิร์ดเองก็ต้องเรียนรู้มากมายบนถนนสายลูกหนัง

ประสบการณ์เขาน้อยมาก อย่าว่าเลยคนที่ดูแต่บอลแต่ไม่เคยไปคลุกคลีจริงจังก็ย่อมไม่ลึกซึ้ง นี่ระดับผู้บริหารของปีศาจแดง ไหนจะ

เรื่องการรับมือพวกเอเยนต์ ไหนจะเรื่องผู้จัดการทีม, สตาฟฟ์, นักเตะและแน่นอนแฟนบอล

มีเรื่องเล่าก็อย่างเคสทอม เคลเวอร์ลี่ย์ซึ่งย้อนไปยุคที่เอฟเวอร์ตันมีโรแบร์โต้ มาร์ติเนซเป็นกุนซือก็ได้แสดงเจตจำนงอยากได้มิดฟิลด์

ที่ปัจจุบันค้าสตั๊ดอยู่กับวัตฟอร์ด ข้อเสนอ 5.5 ล้านปอนด์กับนักเตะที่สัญญากำลังหมดย่อมถือว่าสมเหตุผลพอควร

ทว่าวู้ดเวิร์ดโยนทิ้งลงถังขยะ เขาคิดว่าเงินแค่นั้นน้อยไปที่จะมากระชากผู้เล่นสักคนออกจากโอลด์ แทร็ฟฟอร์ดอีกทั้งก็มีแอสตัน วิลล่า

อีกทีมที่สนใจ สุดท้ายก็กลายเป็นสโมสรสีน้ำเงินแห่งเมอร์ซี่ย์ไซด์ที่ได้ตัวไปอยู่ดีด้วยการเซ็นฟรีเนื่องจากสัญญาหมดในอีกซัมเมอร์ถัดไป

ย้อนไปไกลกว่านั้นก็เป็นยุคแรกเลยที่เขาเองได้โปรโมตเป็นซีอีโอ คนที่เขาต้องทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยก็เพิ่งมาเปิดตัวใหม่เช่น

กัน-เดวิด มอยส์

ความเสี่ยงมาทันทีเพราะทั้งคู่ถือว่าต้องมาทำงานแบกจักรวาล ทุกสิ่งที่เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันกับเดวิด กิลล์สร้างเอาไว้แทบเป็นไปไม่

ได้เลยที่จะทำได้อีกครั้ง

นักเตะรายแรกที่เข้ามาได้แก่มารูยาน เฟลไลนี่ซึ่งไปๆมาๆพวกเขาก็ต้องควักเงินแพงกว่าออพชั่นที่มีอยู่ในสัญญาปล่อยตัวถึง 4 ล้านปอนด์

หน้าหนาวซีซั่นเดียวกัน สโมสรก็ทำความฮือฮาด้วยการเซ็นฆวน มาตาจากเชลซี37 ล้านปอนด์ ตอนนั้นคล้ายว่าวู้ดเวิร์ดเข้าใจแล้วว่าอะไร

คือวิธีการทำทีมบอล นอกจากเอาสตาร์มาได้ก็ยังมาจากคู่แข่งโดยตรง เป็นการทำลายจุดแข็งศัตรูไปในตัว

กระนั้นแค่ผู้เล่นใหม่ 2 คนถือว่าน้อยมากกับใครก็ตามที่ต้องมานั่งเก้าอี้ต่อจากเฟอร์กี้ ความจริงรายชื่อที่มอยส์เคยส่งไปให้ก็มีอย่างติอาโก้

อัลคานตาร่า, เชส ฟาเบรกาส, โทนี่ ครูส, อันเดร์ เอร์เรร่าจนถึงแกเร็ธ เบล

ตอนนั้นวู้ดเวิร์ดย่อมมองว่า“นี่คือทีมชุดแชมป์”ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องไปทุ่มจ่ายตระกร้าซื้อเข้ามาเยอะ นั่นถือเป็นย่างก้าวแรกๆเลยที่เขา

ได้มุมมองใหม่จากเกมฟุตบอล

ต่อมาผลัดถึงยุคหลุยส์ ฟานกัลหรือว่าโชเซ่ มูรินโญ่ เราถึงได้เห็นผู้เล่นหลายต่อหลายคนเข้ามาเปิดตัวด้วยผ้าพันคอกับชุดแข่งสีแดงแต่

เขาเองก็กล่าวเอาไว้“การซื้อตัวก็คงเหมือนตีกอล์ฟ คุณตีไป 3-4 ลูก อาจมีแค่ลูกเดียวหรือไม่มีเลยก็ได้ที่อยู่บนกรีน”    

อย่างไรก็ตามเขาเองก็ถือว่าได้ตัดสินใจถูกต้องเช่นกันตอนที่เชลซีพยายามสร้างทุกกระแสจะเอาเวย์น รูนี่ย์ไปให้ได้ งัดทั้งเกมนอกสนาม

บนสงครามจิตวิทยา ยิ่งรวมกับความสัมพันธ์ที่ง่อนแง่นที่อดีตกัปตันทีมมีกับเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันต่อให้มอยส์เข้ามาแทนแล้วก็เชื่อกันว่า

ความรู้สึกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

พนักงานที่ทำงานในครัวที่สนามซ้อมแคร์ริงตันยังยอมรับเลยว่า”ตอนนั้นทุกคนคิดว่าเขาไปอยู่เชลซีแน่”

ทว่าก็เป็นซีอีโอผู้นี้ที่ไม่ยอมหัวเด็ดตีนขาด เขาเชื่อว่าตอนนั้นที่อายุของรูนี่ย์แค่27 ปีถือเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่ามากกว่าจำนวนเงิน 25 ล้าน

ปอนด์ที่ได้รับข้อเสนอมา ลำพังแค่จำนวนประตูต่อซีซั่นก็เทียบไม่ได้แล้ว

“ผมรู้ว่าเวย์นรักฟุตบอลมาก เขาต้องการแค่ลงไปเล่นอย่างมีความสุข ผมสัญญาว่าจากนี้ไปคุณจะอยู่กับสโมสรที่ทำให้รู้สึก

เหมือนบ้านอีกครั้ง”วู้ดเวิร์ดพูดกับพอล สเตรทฟอร์ด เอเยนต์ของรูนี่ย์

ถูกต้อง…รูนี่ย์อยู่ต่อ สวมเครื่องแบบตราอสูรอีก 4 ซีซั่นก่อนที่ในที่สุดทุบสถิติดาวซัลโวตลอดกาลของเซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน

ชีวิตของวู้ดเวิร์ดไม่เคยหยุดนิ่ง เขาเดินทางไปมาระหว่างลอนดอนกับแมนเชสเตอร์ตลอดเนื่องจากสำนักงานใหญ่ของสโมสรก็มีสาขา

อยู่ในเมืองหลวงด้วย ตั้งอยู่ย่านห้าดาวที่เต็มด้วยโรงแรมชั้นดีและร้านอาหารระดับมิชิลินที่พวกอิงลิชชนเรียกสนิทปากว่า”mayfair”

ว่ากันว่าห้องประชุมของผู้บริหารก็มีการตกแต่งได้เลิศหรูโดยมีการจัดทำบอร์ดที่สลักด้วยตัวหนังสือสีทองขึ้นมา เขียนถึงเกียรติยศความ

สำเร็จที่สโมสรเคยกวาดมาได้

    เหตุผลมี 2 ข้อ

1. เพื่อตอนเจรจาการค้ากับสปอนเซอร์รายใดก็ตาม มันเพิ่มบารมีและน้ำหนักความน่าเชื่อถือ มากกว่าเปิดห้องทั่วไปคุย

2. เพื่อตอกย้ำให้พนักงานทุกคนโดยเฉพาะพวกที่กุมอำนาจสะท้านว่าที่พวกเขากำลังทำอยู่นั้นไม่ใช่งานธรรมดา พวกเขาโชคดี

อย่างมากที่ได้โอกาสมาอยู่ภายใต้อาณาจักรอันเกรียงไกร

วู้ดเวิร์ดเองก็ถือว่าเริ่มเรียนรู้อะไรต่างๆที่เกี่ยวกับเกมฟุตบอลมากขึ้น อย่างกรณีแฮร์รี่ แม็กไกวร์ เขาเองก็อดทนรอเรียกว่าทำสงครามเย็น

กับเลสเตอร์ ซิตี้ เขาให้ข้อเสนอเริ่มจาก50 ล้านปอนด์ในวันแรก อาจโดนปฎิเสธมาแต่ก็คงตามตื้อตลอด อย่างหนึ่งเขาเองมั่นใจลึกๆ

ว่าทำแบบนี้อย่างน้อยพอนักเตะทราบแล้วมีปฎิกิริยาที่อยากออกก็เหมือนบีบให้ต้นสังกัดต้องปล่อย

เหลือแค่ราคาสุดท้ายกับเวลา…

รายของอารอน วาน-บิสซาก้าก็เป็นแบบมัดมือชกทางคริสตัล พาเลซด้วยการให้ตัวเลขที่ยากปฎิเสธได้กับผู้เล่นตำแหน่งแบ็กขวาที่เพิ่ง

แจ้งเกิดปีแรก

ดังนั้นทั้งแม็กไกวร์, วาน-บิสซาก้าและเจ้าหนูดาเนี่ยล เจมส์ถือว่าทำให้แฟนบอลพอรู้สึกประทับใจได้บ้าง กระนั้นก็มีการวิจารณ์ถึงว่า

สโมสรเองก็ปล่อยผู้เล่นออกไปมากแต่ที่ได้มาน้อยไป ไม่สามารถครอบคลุมทดแทนได้หมด

ไรอัน กิ๊กส์เองออกมาบอกว่า“ยูไนเต็ดต้องการอีกอย่างน้อย4-5คน”    

นั่นเองว่ากันว่าจากนี้ไปอีกสอง-สามซีซั่นเราก็น่าได้เห็นการเสริมทัพที่ชัดเจนและมาจากการวิเคราะห์ข้อมูลนักเตะที่แม่นยำขึ้นจาก

แมนฯยูไนเต็ด

เหตุผลหลักมาจากการที่สโมสรได้เพิ่มทีมงานฝ่ายข้อมูลเป็น 15 คน แมวมองทุกวันนี้ที่อยู่ในเครือข่าย”เร้ด อาร์มี่ส์”ก็มีไม่ต่ำกว่า 200

ทั่วโลก มีการเปิดเผยต่ออีกว่าแมวมองพวกนี้ต้องเข้าสนาม มองหานักเตะที่น่าสนใจแล้วนำมาวิเคราะห์กันซึ่งรอบปีผ่านมามีการสำรวจ

รวมกันถึง 13,800 เกม(รวมเกมชุดเยาวชน)ก็ตกวันละ 38 เกมจาก 30 ประเทศ

   “ภายในสามปีเราจะต้องกลับมา”เป็นน้ำเสียงหนักแน่นจากชายผู้แบกความกดดันเอาไว้มหาศาลบนสองบ่า

บางทีเขาเองก็อาจเข้าใจได้มากขึ้นว่าการซื้อนักเตะไม่จำเป็นต้องเหมือนการตีกอล์ฟหรือถ้าใช่ คุณก็สามารถตีให้ไปอยู่บนกรีนได้

ทุกลูก